แลกเปลี่ยนเรียนรู้พื้นที่ต้นแบบกองทุนตำบลปี2564

0 0
Read Time:1 Minute, 13 Second

วันที่ 9 ส.ค. 2564; เวลา 8.30 น.-16.30น. ณ.ห้องประชุมนภาลัยโรงแรมราชาวดี รีสอร์ท แอนด์ โฮเทล อ.เมือง จ.ขอนแก่น นายแพทย์สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น มอบหมายให้ นายแพทย์อดุลย์ บำรุง( นายแพทย์เชี่ยวชาญเวชกรรมป้องกัน) และ กลุ่มงานประกันสุขภาพ ผู้รับผิดชอบงานกองทุนฯ เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการนำเสนอผลงานและแลกเปลี่ยนเรียนรู้พื้นที่ต้นแบบ ”โครงการ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการกองทุนและสร้างอัตลักษณ์การจัดการสุขภาพชุมชนร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดขอนแก่นปีงบประมาณ 2564 “ ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบไปด้วย ปลัด /หัวหน้าสำนักปลัด/ท้องถิ่นอำเภอ/ ผู้รับผิดชอบงานกองทุนสุขภาพของ สสอ.และ รพ.ของพื้นที่อำเภอ

ภายหลังการนำเสนอพื้นที่ต้นแบบเรียบร้อยแล้ว ได้รับความอนุเคราะห์จากผู้ทรงคุณวุฒิประกอบด้วย ดร.สมพันธ์ เตชะอธิก นายแพทย์เรืองศิลป์ เถื่อนนาดี และน.ส.วนิดา วิระกุล ที่ได้มาร่วมอภิปรายผลการนำเสนอผลงานของพื้นที่ต้นแบบ นี้ ส่งผลให้พื้นที่ๆได้เข้าร่วมประชุม ได้เรียนรู้ ทางผู้จัดขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ทั้ง 3 ท่านที่ช่วยแนะนำ ขัดเกลา ให้มีความเชี่ยวชาญการบริหารจัดการกองทุนฯในบริบทตนเองเพิ่มขึ้น และจะนำไปพัฒนาการบริหารจัดการกองทุนให้ครอบคลุมทั้ง 4 ตัวชี้วัดของโครงการ อย่างต่อเนื่องยั่งยืนตลอดไป

เอกสารประกอบการประชุม ดาวน์โหลดที่นี่

https://www.uckkpho.com/wp-content/uploads/2021/08/650355771.952592.mp4

ตัวอย่างการใช้นวัตกรรมไม้นวดมหัศจรรย์แก้ปวดเมื่อย

Happy
0 0 %
Sad
0 0 %
Excited
0 0 %
Sleepy
0 0 %
Angry
0 0 %
Surprise
0 0 %

ซักซ้อมการขอรับค่าใช้จ่าย Home Isolation และ Community Isolation

0 0
Read Time:1 Minute, 36 Second

วิธีการขอรับค่าใช้จ่ายค่าบริการดูแลรักษาแบบ Home Isolation และ Community Isolation ตามหนังสือที่ สปสช ๖.๗๐ / ว.๑๖๖๘๙ ลงวันที่ 6ส.ค.64

ตามที่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ปรับวิธีการจ่ายชดเชยค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 กรณีดูแลใน Home Isolation และ Community Isolation ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ตามหนังสือ ที่ สปสช ๖.๗๐/ว.๔๖๑๕ ลงวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๔ โดยจ่ายชดเชยงวดแรก แบบเหมาจ่าย ในอัตรา ๓,๐๐๐ บาทต่อราย เมื่อหน่วยบริการรับดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 และทำ Authentication ด้วยบัตรประชาชนแบบ Smart card หรือตามแนวทางที่ สปสช.กำหนด สปสช.ขอซักซ้อมแนวทางการจ่ายกรณีบริการ Home Isolation และ Community Isolation เมื่อหน่วยบริการรับผู้ติดเชื้อโรคโควิด 19 ไว้ในการดูแล มีแนวทางดำเนินการ ดังนี้

  • ๑) หน่วยบริการพิสูจน์การเข้ารับบริการของผู้มีสิทธิ โดยการขอ Authentication Code ตามแนวทางที่ สปสช.กำหนด
  • ๒) สปสช.นำข้อมูลการขอ Authentication Code สำหรับบริการ Home Isolation และ Community Isolation มาประมวลผลตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขที่กำหนด เพื่อจ่ายค่าใช้จ่ายในอัตราเหมาจ่าย ๓,๐๐๐ บาทต่อราย ให้กับหน่วยบริการ
  • ๓) สปสช.จะมีระบบติดตามการให้บริการภายหลังการจ่ายตามอัตราเหมาจ่าย
  • ๔) เมื่อสิ้นสุดการดูแลตามระยะเวลาที่กำหนด หน่วยบริการต้องส่งข้อมูลการขอรับค่าใช้จ่ายผ่านโปรแกรม e-Claim มายัง สปสช. ภายใน ๓๐ วันหลังให้บริการ
  • ๕) สปสช.ประมวลผลตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขที่กำหนด หากพบว่า ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข สปสช.จะปฏิเสธการจ่าย หากหน่วยบริการไม่เห็นด้วยสามารถขออุทธรณ์ พร้อมส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องมายัง สปสช.เพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป
  • ๖) กรณีที่มีการขอ Authentication Code และได้รับการจ่ายในอัตราเหมาจ่าย ๓,๐๐๐ บาทต่อราย แล้วหน่วยบริการไม่มีการส่งข้อมูลขอรับค่าใช้จ่ายมาในโปรแกรม e-Claim ภายในระยะเวลา ๙๐ วัน หากไม่พบการให้บริการ จะเรียกเงินคืนค่าใช้จ่ายเหมาจ่าย ๓,๐๐๐ บาท
Happy
0 0 %
Sad
0 0 %
Excited
0 0 %
Sleepy
0 0 %
Angry
0 0 %
Surprise
0 0 %

หลักเกณฑ์ เงื่อนไขการขอรับค่าใช้จ่าย เพิ่มเติม วันที่ 6 ส.ค.2564

0 0
Read Time:3 Minute, 37 Second

ตามหนังสือที่ สปสช ๖.๗๐ / ว.๑๖๖๘๙

หลักเกณฑ์ เงื่อนไขการขอรับค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข สำหรับกรณีโรคโควิด-19 ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่กำหนดเพิ่มเติม โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ขอแจ้งแนวทางปฏิบัติการขอรับค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขกรณีโรคโควิด 19 ปีงบประมาณ ๒๕๖๔ เพิ่มเติม ดังนี้

๑. ค่าออกซิเจน สำหรับการดูแลรักษาใน Home Isolation หรือ Community Isolation

  • ๑.๑ นิยาม “ค่าออกซิเจน” หมายถึง ค่าใช้จ่ายในการให้ออกซิเจนแก่ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ได้รับการดูแลแบบ Home Isolation หรือ Community Isolation ที่มีอาการเปลี่ยนแปลง หรือที่มีความจำเป็นต้องให้ออกซิเจนตามดุลยพินิจของแพทย์
  • ๑.๒ หลักเกณฑ์การจ่ายค่าใช้จ่าย
    • ๑) เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ให้บริการแก่ผู้มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
    • ๒) สำหรับบริการตั้งแต่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๔ เป็นต้นไป
  • ๑.๓ อัตราจ่าย จ่ายตามจริงไม่เกิน ๔๕๐ บาทต่อวัน

๒. ค่าใช้จ่ายเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสำหรับบุคลากรที่จัดการศพผู้เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19

  • ๒.๑ นิยาม “ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคโควิด-19 สำหรับบุคลากรที่จัดการศพผู้เสียชีวิต” หมายถึง ค่าใช้จ่ายเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคโควิด-19 ไปยังบุคลากรทางการแพทย์ บุคคลอื่น และสิ่งแวดล้อมภายนอก โดยถือว่าเป็นบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคซึ่งเกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19
  • ๒.๒ หลักเกณฑ์เงื่อนไขการจ่าย
    • ๑) เป็นค่าใช้จ่ายให้แก่หน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำหรับบุคลากรที่จัดการศพผู้เสียชีวิต เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคโควิด-19 ไปยังบุคลากรทางการแพทย์ บุคคลอื่น และสิ่งแวดล้อมภายนอก โดยเป็นไปตามแนวทางที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด
    • ๒) สำหรับบริการตั้งแต่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔ เป็นต้นไป
  • ๒.๓ อัตราจ่าย จ่ายในอัตราเหมาจ่าย ๒,๕๐๐ บาทต่อผู้เสียชีวิต

๓. ค่าห้องรวมค่าอาหาร กรณีรับไว้เป็นผู้ป่วยใน สำหรับวันรับบริการตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๔

  • ๓.๑ ค่าห้องดูแลรักษารวมค่าอาหาร สำหรับการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีอาการเล็กน้อย (สีเขียว) จ่ายตามจริงไม่เกิน ๑,๕๐๐ บาทต่อวัน
  • ๓.๒ ค่าห้องดูแลรักษารวมค่าอาหาร สำหรับการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีอาการปานกลาง (สีเหลือง) จ่ายตามจริงไม่เกิน ๓,๐๐๐ บาทต่อวัน
  • ๓.๓ ค่าห้องดูแลรักษารวมค่าอาหาร สำหรับการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีอาการรุนแรง (สีแดง) จ่ายตามจริงไม่เกิน ๗,๕๐๐ บาทต่อวัน

๔. ค่าอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (Personal protective equipment : PPE) หรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับกระบวนการ หรืออุปกรณ์อื่นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ กรณีรับไว้เป็นผู้ป่วยใน สำหรับวันรับบริการตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๔

  • ๔.๑ ค่าอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (Personal protective equipment : PPE) หรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับกระบวนการ หรืออุปกรณ์อื่นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ สำหรับการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีอาการเล็กน้อย (สีเขียว) จ่ายตามจริงไม่เกิน ๓๐๐ บาทต่อวัน
  • ๔.๒ ค่าอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (Personal protective equipment : PPE) หรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับกระบวนการ หรืออุปกรณ์อื่นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ สำหรับการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีอาการปานกลาง (สีเหลือง) จ่ายในอัตราชุดละ ๗๔๐ บาท ตามจริงไม่เกิน ๑๕ ชุดต่อวัน หรือไม่เกิน ๑๑,๑๐๐ บาทต่อวัน
  • ๔.๓ ค่าอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (Personal protective equipment : PPE) หรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับกระบวนการ หรืออุปกรณ์อื่นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ สำหรับการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีอาการรุนแรง (สีแดง) จ่ายในอัตราชุดละ ๗๔๐ บาท ตามจริงไม่เกิน ๓๐ ชุดต่อวัน หรือไม่เกิน ๒๒,๒๐๐ บาทต่อวัน

วิธีการบันทึกข้อมูลขอรับค่าใช้จ่าย สามารถดาวน์โหลดได้จาก

https://eclaim.nhso.go.th/ เมนูดาวน์โหลด
Happy
0 0 %
Sad
0 0 %
Excited
0 0 %
Sleepy
0 0 %
Angry
0 0 %
Surprise
0 0 %

แนวทางการขอรับค่าใช้จ่ายฯ เพิ่มเติม6 ส.ค.2564

0 0
Read Time:1 Minute, 57 Second

ตามหนังสือที่ สปสช ๖.๗๐ / ว.๑๖๖๘๙

สิ่งที่ส่งมาด้วย

๑. หลักเกณฑ์ เงื่อนไขการขอรับค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข สำหรับกรณีโรคโควิด-19ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔ ที่กำหนดรายการจ่ายเพิ่มเติม และรายการจ่ายที่ปรับอัตรา
๒. วิธีการขอรับค่าใช้จ่ายค่าบริการดูแลรักษาแบบ Home Isolation และ Community Isolation

ตามที่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้แจ้งแนวทางขอรับค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข สำหรับกรณีโรคโควิด-19 ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔ ตามรายละเอียดที่ทราบแล้วนั้น ในการนี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ขอแจ้งรายละเอียดเพิ่มเติม ดังนี้

  • ๑) ปรับแนวทางการตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ขอยกเลิกข้อความตามหนังสือ สปสช ๖.๗๐/ว.๔๗๕๙ ลงวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ข้อ ๑ และ ข้อ ๒ โดยใช้ข้อความตามนี้แทน
    • ๑.๑ กรณีการออกตรวจนอกพื้นที่ Active Case Finding (ACF) ให้ใช้ ATK ในการตรวจเป็นหลัก เนื่องจากทราบผลได้ทันที หากจำเป็นต้องใช้การตรวจด้วยวิธี RT-PCR ให้เป็นไปตามแนวทางของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด
    • ๑.๒ กรณีการมาขอรับบริการตรวจหาเชื้อ COVID-19 ในสถานพยาบาล/หน่วยบริการ สามารถใช้ดุลยพินิจของแพทย์ผู้ดูแลรักษาตรวจด้วยวิธี RT-PCR ได้ และขอรับค่าใช้จ่ายมายัง สปสช.
  • ๒) หลักเกณฑ์ เงื่อนไขการขอรับค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข สำหรับกรณีโรคโควิด-19 ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔ ที่กำหนดเพิ่มเติม มีรายการดังนี้
    • ๒.๑ ค่าออกซิเจน สำหรับการดูแลแบบ Home Isolation และ Community Isolation
    • ๒.๒ ค่าใช้จ่ายเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสำหรับบุคลากรที่จัดการศพผู้เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19
    • ๒.๓ ค่าห้องรวมค่าอาหาร สำหรับการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 กรณีรับไว้เป็นผู้ป่วยใน
    • ๒.๔ ค่าอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (Personal protective equipment : PPE) หรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับกระบวนการ หรืออุปกรณ์อื่นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสำหรับการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 กรณีรับไว้เป็นผู้ป่วยใน
  • ๓. วิธีการขอรับค่าใช้จ่ายค่าบริการดูแลรักษาแบบ Home Isolation และ Community Isolation สำหรับผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
Happy
0 0 %
Sad
0 0 %
Excited
0 0 %
Sleepy
0 0 %
Angry
0 0 %
Surprise
0 0 %

ผลการประเมินประสิทธิภาพ Total Performance Score ไตรมาส 3 ปี 2564

0 0
Read Time:33 Second

คะแนน TPS รายหน่วยบริการ

Happy
0 0 %
Sad
0 0 %
Excited
0 0 %
Sleepy
0 0 %
Angry
0 0 %
Surprise
0 0 %

แนวทางกำกับการเบิกจ่ายค่ายา Adalimumab/Infliximab

0 0
Read Time:5 Minute, 45 Second

แนวทางกำกับการเบิกจ่ายค่ายา Adalimumab/Infliximab ข้อบ่งใช้โรค Behcet (Behcet’s disease), Noninfectious necrotizing scleritis,Ocular sarcoidosis และ Vogt Koyanagi Harada (VKH disease)

แพทย์และสถานพยาบาลที่ต้องการใช้ Adalimumab/Infiximab จะต้องมีระบบอนุมัติการเบิกจ่ายค่ายาคุณสมบัติของสถานพยาบาล และคุณสมบัติของแพทย์ผู้ทำการรักษา เป็นไปตามที่กำหนด

  1. การขออนุมัติการเบิกจ่ายค่ายา ให้ขออนุมัติการเบิกจ่ายค่ายา Adalimumab/Infiximab จากระบบ Uveitis (pre-authorization) โดยให้สถานพยาบาลลงทะเบียนแพทย์ ผู้ป่วย และส่งข้อมูลรายละเอียดการรักษาตามโปรโตคอลที่กำหนด ก่อนการขออนุมัติทุกครั้ง โดยมีเงื่อนไข ดังนี้
    • 1.1 อนุมัติให้เบิกจ่ายค่ายานาน 6 เดือนต่อครั้ง
    • 1.2 เนื่องจากผู้ป่วยอาจตอบสนองหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษา หรือมีผลข้างเคียงจากการใช้ยา ดังนั้นหลังการอนุมัติครั้งแรกให้เพทย์ผู้รักษาบันทีกผลของการรักษา ยืนยันประโยชน์ของการรักษาด้วยยาในผู้ป่วยนั้นเพื่อขออนุมัติการเบิกจ่ายในครั้งถัดไป
    • 1.3 การเปลี่ยนยาจาก Inftliximab เป็น Adalimumab หรือในทางกลับกัน สามารถทำได้เมื่อใช้ยาตัวใดตัวหนึ่งแล้วพบว่าไม่มีการตอบสนองที่ 6 เดือน หรือเกิดผลข้างเคียงจากยาอย่างมีนัยสำคัญ หรือมีการเปลี่ยนแปลงรายการยาของโรงพยาบาล โดยต้องทำเรื่องขออนุมัติใหม่
  2. คุณสมบัติของสถานพยาบาลและแพทย์ผู้ทำการรักษา สถานพยาบาลที่มีการใช้ยาต้องเป็นสถานพยาบาลที่มีความพร้อมในการวินิจฉัยและรักษาโรค โดยมีจักษุแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญในนุสาขาจักษุวิทยาภูมิคุ้มกันและการอักเสบที่ได้รับการรับรองโดยราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย และมีแพทย์เฉพาะทางสาขาอื่นที่เกี่ยวข้องที่พร้อมจะดูแลรักษาปัญหาแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดจากโรคและ/หรือการรักษา
  3. เกณฑ์อนุมัติการเบิกจ่ายค่ายา เกณฑ์การอนุมัติการเบิกจ่ายค่ายา Adalimumab/Infiximab ข้อบ่งใช้โรค Behcet (Behcet’s disease),Noninfectious necrotizing scleritis, Ocular sarcoidosis และ Vogt Koyanagi Harada (VKH disease) มีดังนี้
    • 3.1 เกณฑ์การวินิจฉัย
      • 3.1.1 ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค Behcet (Behcet’s disease) ตามเกณฑ์ Behcet’s Disease Research Committee: Clinical research section recommendation, Jpn J Ophthalmol 1974, 18:291-4 หรือ International Study Group for Behcet’s Disease: Criteria for Diagnosis of Behcet’s Disease, Lancet 1990, 335:1078-80 หรือ
      • 3.1.2 ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค Noninfectious necrotizing scleritis ตามเกณฑ์ Watson and Harreh. Scleritis and Episcleritis. Br J Ophthalmol. 1976;60(3):163-91. หรือ
      • 3.1.3 ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค Ocular sarcoidosis ตามเกณฑ์ International Criteria for the Diagnosis of Ocular Sarcoidosis: Result of the First International Workshop on Ocular Sarcoidosis (IWOS). Ocular Immunol Inflamm. 2009;17(3):160-9. หรือ
      • 3.1.4 ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค Vogt Koyanagi Harada (VKH disease)ตามเกณฑ์ Revised diagnostic criteria for Vogt Koyanagi Harada disease: Report of an International Committee on Nomenclature. Am J Ophthalmol. 2001;131(5):647-52
    • 3.2 ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยามาตรฐาน ได้แก่ methotrexate (MTX), azathioprine (AZA), mycophenoloate mofetil (MPM), cyclosporine (CSA), cyclophosphamide (CTX) หรือ chlorambucil แบบผสมผสาน (combination therapy) 22 ขนาน และต้องได้รับยาแต่ละตัวในขนาดเป้าหมายมาตรฐาน (standard target dose) ติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน ยกเว้นมีข้อห้ามหรือมีผลข้างเคียงจากการใช้ยาอย่างมี
      นัยสำคัญ
  4. ข้อห้ามของการใช้ยา
    • 4.1 เป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย (terminally ill! หรือจะไม่ได้รับประโยชน์จากการใช้ยาเมื่อเทียบกับผลข้างเคียงที่จะเกิดจากยา เช่น bed ridden, severe dementia ไม่สามารถสื่อสารเพื่อบอกอาการผลข้างเคียงจากการรักษาหรือประเมินผลการรักษาได้
    • 4.2 ระดับสายตาไม่เห็นแสง (no light perception)
    • 4.3 เคยแพ้ยานี้อย่างรุนแรง หรือแพ้ส่วนประกอบที่เป็น murine protein
    • 4.4 มีการติดเชื้อรวมทั้งการติดเชื้อซ้ำซาก (recurrent) ที่ไม่ได้รับการรักษาหรือควบคุมอย่างเหมาะสม
  5. ขนาดยาที่แนะนำ
    • 5.1 Adalimumab เริ่มต้นที่ 80 มก. ฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนัง แล้วฉีดต่อด้วย 40 มก. ทุก 2 สัปดาห์ หรือ Infliximab 5 มก./กก. หยดเข้าหลอดเลือดดำ เริ่มต้นที่สัปดาห์ที่ 0, 2, 6 และต่อด้วยทุก 8 สัปดาห์ หากการตอบสนองไม่เป็นที่น่าพอใจหลัง 3 เดือน อาจพิจารณาเพิ่มความถี่ของการใช้ยา เป็นทุก 6 สัปดาห์
    • 5.2 การใช้ยาชีววัตถุควรใช้ควบคู่กับยามาตรฐานในขนาดที่ได้อยู่เดิม ยกเว้นมีข้อห้ามหรือมีผลข้างเคียงจากการใช้ยาอย่างมีนัยสำคัญ
  6. การประเมินผลการรักษาเพื่อขอต่ออายุการเบิกจ่ายค่ายา
    • 6.1 ประเมินผลการรักษา และบันทึกในเวชระเบียน อย่างน้อยทุก 3 เดือน
    • 6.2 การตอบสนองต่อการรักษา แบ่งเป็น
      • 6.2.1 ตอบสนองต่อการรักษาอย่างสมบูรณ์ หมายถึง ไม่พบการอักเสบในตา (inactive)
      • 6.2.2 ตอบสนองต่อการรักษาบางส่วน หมายถึง การอักเสบในตาลดลง (improved disease activity) หรือความถี่ในการอักเสบลดลง
      • 6.2.3 ไม่ตอบสนองต่อการรักษา หมายถึง มีการอักเสบในตาเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น หรือความถี่ของการอักเสบเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น
    • 6.3 ในกรณีที่ไม่ตรงตามเกณฑ์ข้างต้น หากมีความจำเป็นต้องใช้ยา ให้ระบุเหตุผลในช่องหมายเหตุ
  7. เกณฑ์การหยุดยา ให้หยุดยาเมื่อมีข้อบ่งซี้ข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
    • 7.1 ไม่ตอบสนองต่อการรักษาหลังจากใช้ยานาน 6 เดือน
    • 7.2 ระดับการมองเห็นหลังการรักษา 6 เดือนในตาข้างที่ดีที่สุด แย่กว่า finger count at 1 foot
    • 7.3 มีอาการแพ้ยา หรือ เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการใช้ยา Adalimumab/Infliximab
    • 7.4 ผู้ป่วยปฏิเสธการใช้ยา
    • 7.5 ย้ายสถานพยาบาล

หมายเหตุ

ขนาดเป้าหมายมาตรฐาน (standard target doses) ของยามาตรฐาน ได้แก่

  • Methotrexate 0.3 มก./กก/สัปดาห์ (ขนาดสูงสุด 25 มก./สัปดาห์)
  • Azathioprine 2-2.5 มก/กก/วัน
  • Cyclosporine 3-5 มก/กก./วัน
  • Mycophenolate mofetil 2-3 กรัม/วัน
  • Cyclophosphamide 2 มถ/กก./วัน
  • Chlorambucil 0.1 มก/กก/วัน

ผู้ป่วยระยะสุดท้าย (terminally ill) หมายถึง ผู้ป่วยโรคทางกายซึ่งไม่สามารถรักษาได้ (incurable) และไม่สามารถช่วยให้ชีวิตยืนยาวขึ้น (ireversible) ซึ่งในความเห็นของแพทย์ผู้รักษา ผู้ป่วยจะเสียชีวิตในระยะเวลาอันสั้น ผู้ป่วยดังกล่าวควรได้รับการรักษาแบบประคับประคอง (palliative care โดยมุ่งหวังให้ลดความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานเป็นสำคัญ

คำจำกัดความ

  • ไม่พบการอักเสบในตา (inactive) หมายถึง การอักเสบระดับ 0 ในช่องหน้าลูกตา (anterior chamber) หรือในน้ำวุ้นตา (vitreous) ตามเกณฑ์ของ The Standardization of Uvettis Nomenclature (SUN) Working Group ไม่พบการอักเสบของขั้วประสาทตา จอประสาทตา คอรอยด์ ไม่มีการรั่วของเนื้อเยื่อจากการประเมินด้วย fuorescein หรือ indocyanine green angiography และไม่พบการบวมของจุดรับภาพชัด (macular edema)
  • การอักเสบในตาลดลง (improved disease activity) หมายถึง ความรุนแรงของการอักเสบในช่องหน้าลูกตาหรือในวุ้นตาลดลง อย่างน้อย 2 ระดับหรือลดลงเป็นระดับ 0 ตามเกณฑ์ของ The Standardization of Uveitis Nomenclature (SUN) Working Group หรือรอยรั่วจากชั้นคอรอยด์หรือจอประสาทตาลดลง จากการประเมินโดยการทำ fluorescein หรือ indocyanine green angiography หรือจุดรับภาพชัดบวมลดลง จากการประเมินด้วยการตรวจร่างกายและภาพถ่ายตัดขวาง Optical coherence tomography (OCT)
Happy
0 0 %
Sad
0 0 %
Excited
0 0 %
Sleepy
0 0 %
Angry
0 0 %
Surprise
0 0 %

หลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยภาวะตาอักเสบซึ่งจำเป็นต้องใช้ยาที่มีค่าใช้จ่ายสูง

0 0
Read Time:2 Minute, 33 Second

อ้างอิงหนังสือกรมบัญชีกลางที่

กค 0416.2/ว681 ลงวันที่ 5 สิงหาคม 2564

ด้วยกรมบัญชีกลางได้ดำเนินการจัดทำระบบเบิกจ่ายตรงสำหรับผู้ป่วยภาวะตาอักเสบจากโรคในกลุ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ ได้แก่ Behcet, Noninfectious necrotizing scleritis, Ocular sarcoidosis และ Vogt Koyanagi Harada (VKH disease) ที่ไม่ตอบสนองหรือตอบสนองไม่เพียงพอต่อการรักษาด้วยยามาตรฐาน และมีความจำเป็นต้องใช้ยาที่มีค่าใช้จ่ายสูง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ลดโอกาสสูญเสียสายตาอย่างถาวร และช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น กรมบัญชีกลางพิจารณาแล้ว ขอเรียนว่า เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาพยาบาลตามความเหมาะสมจำเป็น และปลอดภัย รวมทั้งเพื่อให้การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลเป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ดังนั้นอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๑) และวรรคสอง แห่งพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๕๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม อธิบดีกรมบัญชีกลางโดยได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงเห็นควรดำเนินการ ดังนี้

  1. กำหนดหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล สำหรับผู้ป่วยภาวะตาอักเสบจากโรค Behcet, Noninfectious necrotizing scleritis, Ocular sarcoidosis และ Vogt Koyanagi Harada (VKH disease) ซึ่งจำเป็นต้องใช้ยา Adalimurab และ Infliximab โดยให้สถานพยาบาลดำเนินการลงทะเบียนแพทย์ผู้รักษา ผู้ป่วย แล้วส่งข้อมูลตามโปรโตคอลที่กำหนดในระบบ Uveitis ทางเว็บไซต์ https://bialogic.mra.or.th/index.php เพื่อขออนุมัติเบิกจ่ายค่ายาหรือขอต่ออายุการเบิกจ่ายค่ายา หรือขอหยุดการใช้ยา ตามแนวทางปฏิบัติที่สำนักวิจัยเพื่อพัฒนาการตรวจสอบการบริการสาธารณสุข (สพตส.) กำหนด สำหรับการเบิกจ่าย ให้เบิกจ่ายค่ายาในระบบเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น โดยให้เบิกจ่ายได้ไม่เกินอัตราที่กรมบัญชีกลางกำหนดตามหนังสือที่อ้างถึง อีกทั้งการใช้ยาดังกล่าวต้องเป็นไปตามเงื่อนไขข้อบ่งขี้ที่กำหนดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย จึงสามารถเบิกจ่ายจากทางราชการได้
  2. สำหรับยาชีววัตถุและยาสังเคราะห์มุ่งเป้าซึ่งใช้ในการรักษาภาวะตาอักเสบจากโรคในกลุ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติข้างต้น ที่อยู่นอกระบบ Uveitis เช่น Golimumab เป็นต้น จะไม่สามารถเบิกจ่ายได้ อย่างไรก็ตาม กรมบัญชีกลางได้เร่งทยอยพิจารณาการปรับรายการยาที่จำเป็นเข้าระบบ Uveitis ต่อไป
  3. กรณีที่สถานพยาบาลจำเป็นต้องออกใบเสร็จรับเงิน ค่ายาชีววัตถุและยาสังเคราะห์มุ่งเป้าซึ่งใช้ในการรักษาภาวะตาอักเสบจากโรคในกลุ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติข้างต้น ทั้งที่เป็นยาในระบบ Uveitis และนอกระบบ Uveitis ให้แจงรายละเอียดชื่อรายการยา โดยระบุเป็น “ค่ายาที่เบิกไม่ได้” และมิให้ออกใบรับรองในการสั่งใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ เนื่องจากผู้มีสิทธิไม่สามารถนำใบเสร็จรับเงินค่ายาดังกล่าวทุกรูปแบบ ขนาด และความแรง มายื่นเบิกเงินกับส่วนราชการต้นสังกัดได้

ทั้งนั้นให้มีผลใช้บังคับสำหรับค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๔ เป็นต้นไป

แนวทางกำกับการเบิกจ่ายค่ายา Adalimumab และ Infliximab ข้อบ่งใช้โรค Behcet,Noninfectious necrotizing scleritis, Ocular sarcoidosis และ Vogt Koyanagi Harada (VKH disease)

Happy
0 0 %
Sad
0 0 %
Excited
0 0 %
Sleepy
0 0 %
Angry
0 0 %
Surprise
0 0 %

ประชุมชี้แจงแนวทางการกระจายชุดตรวจ ATK

0 0
Read Time:1 Minute, 16 Second

ประชุมชี้แจงแนวทางการกระจายชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) เพื่อแจกประชาชนและประด็นการจ่ายชดเชยค่าบริการ Covid-19 เปลี่ยนแปลง วันพุธที่ 4 สิงหาคม 2564 เวลา 13.30-16.30 น. ผ่านระบบประชุมออนไลน์ โดยมีวาระประกอบด้วย

  • ๑๓.๓๐ – ๑๓.๔๕ น. กล่าวเปิดการประชุม และให้นโยบายโดย นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข
  • ๑๓.๔๕ – ๑๔.๑๕ น. แนวปฏิบัติการตรวจ Antigen Test Kit (ATK) การดูแลรักษา และระบบการรับชุด Antigen Test Kit (ATK) ประเภท Self-test สำหรับประชาชน โดย ผู้แทนกรมควบคุมโรคติดต่อ
  • ๑๔.๑๕ – ๑๔.๔๕ น. แนวทางการเก็บสิ่งส่งตรวจ กรณี Antigen Test Kit (ATK) ประเภท Self-test สำหรับประชาชน และวิธีการอ่านผล โดย นายแพทย์บัลลังก์ อุปพงษ์ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
  • ๑๔.๔๕ – ๑๕.๑๕ น. แนวทางการกระจายชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ประเภท Self-test เพื่อแจกประชาชนในพื้นที่ โดย ผู้อำนวยกองบริหารการสาธารณสุข
  • ๑๕.๑๕ – ๑๖.๐๐ น. ภาพรวมระบบการจ่ายชดเชย Covid-19 ที่เปลี่ยนแปลง และการชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) เพื่อแจกประชาชน โดย สายงานบริหารกองทุน สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
    • การจ่ายชดเชย Covid-19 ที่เปลี่ยนแปลง
    • แนวทางจ่ายชดเชย Antigen Test Kit (ATK) และการดำเนินการของหน่วยบริการ
    • ระบบ Authen code และระบบรายงาน
Happy
0 0 %
Sad
0 0 %
Excited
0 0 %
Sleepy
0 0 %
Angry
0 0 %
Surprise
0 0 %

การเปลี่ยนสถานพยาบาลสิทธิประกันสังคม

0 0
Read Time:0 Second
Happy
0 0 %
Sad
0 0 %
Excited
0 0 %
Sleepy
0 0 %
Angry
0 0 %
Surprise
0 0 %

การขอใบรับรองแพทย์กรณีCovid-19

0 0
Read Time:1 Minute, 29 Second

การขอใบรับรองแพทย์ในกรณีดังต่อไปนี้

  • กรณีรักษาตัวในโรงพยาบาล การขอออกใบรับรองแพทย์จะต้องให้แพทย์ผู้รักษาเป็นผู้ออกใบรับรองให้ อย่างไรก็ดี ในช่วงนี้เริ่มมีการใช้ระบบการดูแลรักษาตัวที่บ้าน (Home Isolation) หรือในชุมชน (Community Isolation) ในกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการหรือมีอาการเล็กน้อย ในกรณีนี้ต้องให้คลินิกหรือโรงพยาบาลที่รับดูแลผู้ป่วยรายนั้นๆเป็นคนไข้ของตัวเอง เป็นผู้ออกใบรับรองแพทย์ให้
  • ในกรณีที่ผู้ป่วยหรือผู้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงกักตัวด้วยตัวเองโดยไม่ได้ลงทะเบียนเป็นผู้ป่วยในของโรงพยาบาลหรือคลินิกชุมชนอบอุ่น แพทย์ไม่สามารถออกใบรับรองให้ได้
  • ในกรณีของการขอใบรับรองผลการตรวจว่าติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่นั้น หากตรวจจากห้องปฏิบัติการ ให้ห้องปฏิบัติการที่ทำการตรวจเป็นผู้ออกใบรับรองผลให้ ส่วนกรณีผู้รับการตรวจคัดกรองเชิงรุกด้วย Antigen Test Kit ตามจุดให้บริการต่างๆ ซึ่งจะมีแพทย์พยาบาลจากหลายโรงพยาบาล หลายจังหวัดมาให้บริการตรวจนั้น ในกรณีที่พบว่ามีการติดเชื้อ จะได้ใบรับรองผลการตรวจ ณ จุดคัดกรองเลย แต่กรณีที่ผลตรวจเป็นลบและต้องการใบรับรองผล หลังจากตรวจแล้ว 1 วัน สามารถเข้าไปดาวน์โหลดใบรับรองได้ที่หน้าเว็บไซต์ของโรงพยาบาลที่ทำการตรวจ หรือหากหาไม่พบว่าต้องดาวน์โหลดตรงไหนก็สามารถโทรติดต่อสอบถามไปที่โรงพยาบาลนั้นได้โดยตรง
  • ในกรณีที่ตรวจด้วยตัวเองโดยใช้ Antigen Test Kit ห้องปฏิบัติการไม่สามารถออกใบรับรองให้ได้ ผู้ที่ตรวจด้วยตัวเองอาจใช้การรับรองตัวเอง เช่น ถ่ายรูปเป็นหลักฐาน
  • ส่วนกรณีบริษัทต่างๆ ที่มีข้อกำหนดว่าต้องมีใบรับรองการติดโควิด-19 เพื่อประกอบการลางาน ให้เป็นการเจรจากันเองระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง เช่นเดียวกับนายจ้างต้องการให้ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ซ้ำ เพื่อขอใบรับรองแพทย์ไปยืนยันที่ทำงาน กรณีนี้ควรเป็นการตกลงกันเองระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง

สรุปจากแนวทางการตอบคำถามโดยสายด่วน สปสช. 1330

Happy
0 0 %
Sad
2 50 %
Excited
0 0 %
Sleepy
0 0 %
Angry
0 0 %
Surprise
2 50 %
Exit mobile version