คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์  พิพัฒนาศัย)  เสนอให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติการทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการบริหารจัดการทะเบียนสิทธิรักษาพยาบาลของประชาชน (National  Beneficiary Registration Center)ดังนี้ 

  1. มอบหมายให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ควบคุมดูแลสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)  ในการทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการบริหารจัดการทะเบียนสิทธิรักษาพยาบาลของประชาชน (National  Beneficiary Registration Center)
  2. เห็นชอบให้หน่วยงานซึ่งดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลผู้มีสิทธิรักษาพยาบาลทุกหน่วยงาน จัดส่งข้อมูลผู้มีสิทธิรักษาพยาบาลของบุคลากรหน่วยงานรวมถึงผู้ใช้สิทธิร่วมให้แก่ สปสช. เพื่อทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลในการบริหารจัดการทะเบียนสิทธิรักษาพยาบาลของประชาชน

สาระสำคัญของเรื่อง

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข  ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ รายงานว่า 

  1. ปัจจุบัน สปสช. ทำหน้าที่บริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติดูแลประชาชนไทยที่ไม่ได้รับสิทธิรักษาพยาบาลจากระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการและบุคคลในครอบครัว  ระบบประกันสังคม และสิทธิรักษาพยาบาลอื่น ๆ  ที่รัฐจัดให้  จึงจำเป็นต้องได้รับข้อมูลผู้มีสิทธิรักษาพยาบาลจากกองทุนและหน่วยงานที่รับผิดชอบการบริหารจัดการสิทธิรักษาพยาบาลที่รัฐจัดให้กับบุคคลกลุ่มต่าง ๆ  เพื่อดำเนินการให้ฐานข้อมูลผู้มีสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลจากรัฐมีความครบถ้วน ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน  และเป็นฐานข้อมูลกลางของประเทศ  และ สปสช. สามารถมีข้อมูลในการจัดให้ผู้ไม่มีสิทธิอื่น  ได้รับการลงทะเบียนสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าตามมาตรา 5 แห่ง พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ซึ่งกำหนดให้บุคคลทุกคนมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ
  2. ปัจจุบันการบริหารจัดการข้อมูลสิทธิรักษาพยาบาลที่รัฐจัดให้ยังขาดระบบทะเบียนสิทธิรักษาพยาบาลกลางที่จะใช้อ้างอิงร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ  ส่งผลให้รัฐเสียค่าใช้จ่ายในการจัดสรรงบประมาณให้แก่ประชาชนด้วยสิทธิที่อาจซ้ำซ้อนกันระหว่างหน่วยงานรัฐ เช่น ผู้มีสิทธิรัฐวิสาหกิจ อาจได้รับสิทธิหลักประกันสุขภาพด้วย หรือบุคคลในครอบครัวของผู้มีสิทธิรัฐวิสาหกิจ อาจได้รับสิทธิข้าราชการด้วย ดังนั้น การบริหารจัดการระบบทะเบียนสิทธิรักษาพยาบาลของประชาชนอย่างเป็นระบบ  คาดว่ารัฐสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่ซ้ำซ้อนลงได้เป็นมูลค่าโดยประมาณการ 1,425 ล้านบาท โดยคำนวณจากผู้มีสิทธิซ้ำซ้อน 475,000 ราย  อีกทั้งยังสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลดังกล่าวเพื่อการวางแผนด้านค่าใช้จ่ายสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ส่งผลให้ภาครัฐสามารถเห็นภาพรวมของข้อมูลสิทธิรักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลของหน่วยงานรัฐทุกแห่งของประเทศได้อย่างครบถ้วน